วันพุธที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

ยินดีต้อนรับ

วันแห่งความรัก วาเลนไทน์ (Valentine’s Day)

14 กุมภาพันธ์ ของทุกปี เป็นวันวาเลนไทน์ วันแห่งความรัก วันที่ทุกคนจะมอบความรักให้กันและกันเป็นพิเศษ ในปีนี้ 2559 วันวาเลนไทน์ ตรงกับวันอาทิตย์ที่ 14 กุมภาพันธ์ วันนี้สกู๊ปเอ็มไทยจึงขอนำประวัติ ความเป็นมาของวันวาเลนไทน์ ที่จะถึงนี้มาฝากกันครับ

วาเลนไทน์

มีมาตั้งแต่สมัยจักรวรรดิโรมัน ซึ่งในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ จะเป็นวันเฉลิมฉลองของจูโน่ซึ่ง เป็นราชินีแห่งเหล่าเทพและเทพธิดาของโรมัน ชาวโรมันรู้จักเธอในนามของเทพธิดา แห่งอิสตรีและการแต่งงาน และในวันถัดมาคือวันที่ 15 กุมภาพันธ์ ก็จะเป็นวันเริ่มต้นงานเลี้ยงของเด็กหนุ่มและเด็กสาว ต่อมาใน รัชสมัยจักรพรรดิคลอดิอัส ที่ 2 (Emperor Claudius II) แห่งกรุงโรม ที่มีกษัตริย์ ใจคอดุร้ายและทรงนิยม การทำสงครามนองเลือด และทรงห้ามการจัดพิธีหมั้นและแต่งงานกันในโรมโดยเด็ดขาด

วันวาเลนไทน์

โดยขณะนั้นมีนักบุญรูปหนึ่งชื่อว่า “เซนต์วาเลนไทน์” หรือ “วาเลนตินัส” ซึ่งอาศัยอยู่ในกรุงโรม ได้ร่วมมือกับ เซนต์มาริอัส จัดพิธีแต่งงานให้กับ ชาวคริสต์หลายคู่ด้วยความปรารถนาดีของท่านนี้เอง จึงทำให้เขาถูกตัดสินประหารชีวิตโดยเจ้าหน้าที่บ้านเมือง ก่อนที่เขาจะถูกประหารชีวิตเซนต์วาเลนไทน์ ได้ตกหลุมรักหญิงสาวที่เป็นลูกสาวของผู้คุมที่ชื่อว่า “จูเลีย” ซึ่งได้มาเยี่ยมเขาระหว่างที่ถูกคุมขัง ในคืนก่อนที่วาเลนไทน์จะถูกประหารชีวิตนั้น เขาได้ส่งจดหมายฉบับสุดท้ายถึงจูเลีย อันเป็นที่รัก โดยลงท้ายว่า “From YourValentine
ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 270 (วันวาเลนไทน์) หรือ พ.ศ.813 ราว 1,738 ปี หลังจากนั้นศพของเขาได้ถูกเก็บไว้ที่ โบสถ์พราซีเดส (Praxedes) ณ กรุงโรม ซึ่ง จูเลีย ได้ปลูกต้นอามันต์ หรืออัลมอลต์สีชมพู ไว้ใกล้หลุมศพของเซนต์วาเลนไทน์ หรือ วาเลนตินัส แด่ผู้เป็นที่รักของเธอ โดยในทุกวันนี้ ต้นอามันต์สีชมพู ได้เป็นตัวแทนแห่งรักนิรันดรและมิตรภาพ อันสวยงาม และคำนี้ก็เป็นคำที่ใช้มาจนถึงปัจจุบัน

Saint-Valentine

ถึงแม้ว่าเบื้องหลังความเป็นจริงของวาเลนไทน์จะเป็นตำนานที่มืดมัวแต่เรื่องราวยังคงแสดงให้เห็นถึงความรู้สึกสงสาร ความกล้าหาญและที่สำคัญที่สุดเป็นเครื่องหมายของความโรแมนติค จึงไม่น่าประหลาดใจเลยว่า ในช่วงยุคกลางวาเลนไทน์เป็นนักบุญ ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในอังกฤษและฝรั่งเศส ต่อมาพระในนิกายโรมันคาทอลิกจึงเลือกให้ วันที่ 14 กุมภาพันธ์ เป็นวันเฉลิมฉลองเทศกาลแห่งความรักและดูเหมือนว่ายัง คงเป็นธรรมเนียมที่ชายหนุ่มจะเลือก หญิงสาวที่ตนเองพึงใจใน วันวาเลนไทน์ สืบต่อกันมาจนถึงทุกวันนี้

Valentine


ดอกกุหลาบ วาเลนไทน์

วันวาเลนไทน์ ต้องคู่กับ ดอกกุหลาบ ขาดจากกันไม่ได้ การบอกรักด้วยดอกกุหลาบนั้น สามารถบอกถึงนิสัยและความหมายของสีดอกกุหลาบได้อีกด้วย

กุหลาบสีแดง
กุหลาบสีแดง (Red Rose): แทนความหมายว่า “ฉันรักเธอ”
กุหลาบสีขาว
กุหลาบสีขาว (White Rose) : แทนความหมายว่า “ความรักอันบริสุทธิ์”
กุหลาบสีชมพู
กุหลาบสีชมพู (Pink Rose) : แทนความหมายว่า “ความรักแบบโรแมนติก”
กุหลาบสีเหลือง
กุหลาบสีเหลือง (Yellow Rose) : แทนความหมายว่า “ความรักแบบเพื่อน”

ดอกกุหลาบบอกรัก
1 ดอก คือ รักแรกพบ2 ดอก คือ แสดงความยินดีด้วย
3 ดอก คือ ฉันรักเธอ
7 ดอก คือ เธอทำให้ฉันหลงเสน่ห์
9 ดอก คือ เราสองคนจะรักกันตลอดไป
10 ดอก คือ เธอเป็นคนที่ดีเลิศ
11 ดอก คือ เธอเป็นสมบัติที่มีค่าชิ้นเดียวของฉัน
12 ดอก คือ ขอให้เธอเป็นคู่ฉันเพียงคนเดียว
13 ดอก คือ เพื่อนแท้เสมอ
15 ดอก คือ ฉันรู้สึกเสียใจจริงๆ
20 ดอก คือ ฉันมีความจริงใจต่อเธอ
21 ดอก คือ ชีวิตนี้ฉันมอบเพื่อเธอ
36 ดอก คือ ฉันยังจำความหลังอันแสนหวาน
40 ดอก คือ ความรักของฉันเป็นรักแท้
99 ดอก คือ ฉันรักเธอจนวันตาย
100 ดอก คือ ฉันอุทิศชีวิตนี้เพื่อเธอ
101 ดอก คือ ฉันมีเธอเพียงคนเดียวเท่านั้น
108 ดอก คือ เธอจะแต่งงานกับฉันไหม
999 ดอก คือ ฉันจะรักเธอจนวินาทีสุดท้าย
1,000 ดอก คือ ฉันจะรักเธอจนวันตาย
9,999 ดอก คือ ฉันจะรักเธอชั่วนิรันดร

วันจันทร์ที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2559

ยินดีต้อนรับ

คริสต์มาส คือการฉลองการบังเกิดของพระเยซูเจ้าที่เราเฉลิมฉลองกันในวันที่ 25 ธันวาคม คำว่า "คริสต์มาส" เป็นคำทับศัพท์ภาษาอังกฤษ Christes Maesse ที่แปลว่า บูชามิสซาของพระคริสตเจ้า เพราะการเข้าร่วมพิธีมิสซา เป็นประเพณีสำคัญที่สุดที่ชาวคริสต์ถือปฏิบัติกันในวันคริสต์มาส

คำว่า Christes Maesse พบครั้งแรกในเอกสารโบราณเป็นภาษาอังกฤษ ในปี 1038 และคำนี้ก็แปรเปลี่ยนมาเป็นคำว่า Christmas ในภาษาไทย "คริสต์มาส" ก็มีความหมายเช่นกัน คำว่ามาส แปลว่า เดือน เทศกาลคริสต์มาสจึงเป็นเดือนที่เราระลึกถึงพระเยซูเจ้าคริสตเจ้าเป็นพิเศษ อีกความหมายหนึ่งของคำว่ามาส คือดวงจันทร์ ฉะนั้น จึงตีความหมายเป็นภาษาไทยได้อีกอย่างหนึ่ง คือพระเยซูเจ้าเป็นความสว่างของโลก เหมือนด วงจันทร์เป็นความสว่างในตอนกลางคืน

คำทักทายที่เราได้ฟังบ่อยๆ ในเทศกาลนี้คือ Merry Christmas คำว่า Merry ในภาษาอังกฤษโบราณแปลว่าสันติสุข และความสงบทางใจ เพราะฉะนั้น คำนี้จึงเป็นคำที่ใช้อวยพรคนอื่น ขอให้เขาได้รับสันติสุข และความสงบทางใจ เนื่องในโอกาสเทศคริสต์มาส

วันอังคารที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2558

บทที่1

บทที่1         
                                                   บทนำ
          ที่มาและความสำคัญ  วัตถุประสงค์ ขอบเขตโครงงาน หลักการและทฤษฎี วิธีดาเนินงาน วัสดุอุปกรณ์ รูปชิ้นงาน ขั้นตอนและแผน ดำเนินงาน ผลที่คาดว่าจะได้ รับ ที่มาและความสำคัญของโครงงาน ปัจจุบันสร้อยข้อมือเป็นสิ่งของเครื่องใช้ ที่ มีประโยชน์ และ มี ความสำคัญในสังคมมากพอสมควร สร้อยข้อมือที่พบเรา สามารถพบได้ หลายรูปแบบแต่ ละแบบการทำที่แตกต่างกัน แต่ มีความสวยงามเหมือนกัน สร้อยข้อมือเป็นเครื่องประดับ ที่ดึงดูดความสนใจให้ แก่ ผู้ที่พบเห็น สร้อยข้อมือสามารถเลือกซื้อและ สร้างรายได้ พิเศษในการใช้ เวลาว่างให้ เป็นประโยชน์ และให้ ผู้ที่สนใจศึกษาได้ นำไปทำ
ประโยชน์ของการทำสร้อยข้อมือ
         สร้อยข้อมือ เป็นสิ่งที่ช่วยให้ เกิดการเสริม รายได้ และใช้ เวลาว่างให้ เกิดประโยชน์สำหรับคนที่ชอบใส่ สร้อยข้อมือ ซึ่งกำลังได้ รับความ นิยมในปัจจุบันนี้ โดยเฉพาะสร้อยข้อมือ ที่มีการ ตกแต่ ง อัญมณีรูปแบบเก๋ ๆ เพิ่มความน่าสนใจไม่ ซ้ำ ใครซึ่งโครงงานนี้ได้ จัดขึ้นเพื่อผู้ทำ สนใจทำสร้อยข้อมือ โดยเฉพาะ
ลักษณะทั่วไปของสร้อยข้อมือ 
           มีลักษณะ ลักษณะ 1. แบบสีใสเหมือนแก้วนิยมนำไป ทำงานเชือกเทียน หรือถัก กระเป๋า 2. แบบขุ่นคล้าย ๆ ลูกปัดโบราณ นิยมนำไปร้อยเป็นสร้อย โบราณ หรือร้อยสลับกับหินสี ลูกปัดชนิดนี้  เหมาะสำหรับ ทั้งผู้รักการทำงาน แนว เท่ห์ ไม่อ่อนหวานมากนักงานร้อยลูกปัดแบบโบราณ เพิ่มมูลค่าข้อควรระวังไม่ควรกระแทก

 วัตถุประสงค์
1  เพื่อให้ ผู้ที่ศึกษาได้ หารายได้ จากการทำสร้อย
2  เพื่อให้ ผู้ศึกษามีสมาธิในการทา
3  เพื่อให้ ผู้ ศึกษาได้ เวลาว่างให้ เกิดประโยชน์ สูงสุด
4  เพื่อให้ ผู้ศึกษาเกิดความคิดสร้างสรรค์
ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ
1  ช่วยให้ เกิดการเสริมรายได้
2   ใช้เวลาว่างให้ เกิดประโยชน์
3   ฝึกให้มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์
4   ฝึกให้มีความอดทน
            ระยะเวลาดำเนินงาน

ดำเนินโครงงานตั้งแต่เปิดภาคเรียนที่สองจนถึงเดือนธันวาคม

บทที่2

บทที่2
                                            การศึกษาเอกสารอ้างอิง
ความรู้ พื้นฐานเกี่ยวกับสร้อยข้อมือจากลูกปัด
         "ลูกปัด"เป็นวัตถุหรือประดิษฐ์กรรมขนาดเล็กอย่างหนึ่ง  ซึ่งทำจากวัตถุดิบที่เป็นอินทรียวัตถุต่างๆกัน  เช่น ไม้ หิน แร่  กระดูก  เขี้ยวสัตว์ เขาสัตว์   เปลือกหอย เมล็ดพืช ดินปั้น ดินเผา แก้วน้ำเคลือบ แก้วหลอมโลหะ เช่น ทอง เงิน ตะกั่ว เหล็ก พลาสติก ตลอดจนสารสังเคราะห์ ฯลฯ  โดยนำมาขัดหรือฝน ปั้น หรือหล่อหลอม พิมพ์ รูปทรงและแต่งแต้มให้เป็นรูปลักษณะต่างๆ  ต้องมีหรือทำรู เพื่อร้อยด้ายหรือเชือกหรือเส้นสายใดๆสำหรับห้อยแขวน ประดับตกแต่งตามร่างกายหรือสถานที่ การประดับลูกปัดด้วยวัสดุ และกรรมวิธีตลอดจนลักษณะรูปร่างต่างๆกันไปย่อมสอดคล้องกับประโยชน์ใช้สอยและเป็นไปตามแนวความเชื่อ ประเพณีนิยม หรือค่านิยมของยุคใดสมัยใดในแต่ละชุมชน บางคนถือเป็นเรื่องรางของขลัง และเป็นเครื่องประดับที่เป็นสิริมงคลมีพลังอำนาจต่างๆ ก็คือการปัดสิ่งร้ายออกไปและปัดสิ่งที่ดีเข้ามา  
  เชือกเทียน คือ เชือก ที่ผ่านกระบวนการชุบเทียน มี ความแข็งแรงแน่นหนา มีคุณสมบัติพิเศษคือ สามารถเผาไฟได้ นิยมนำมาถัก เป็นเครื่องประดับ วัสดุในการผลิต :เป็นเชือกฝายชุบกับเทียน วิธีใช้ :นำไปร้อย ลูกปัดที่มีรูขนาดใหญ่ เช่น เม็ดไม้ ลูกปัดหยดนา นาไปเย็บกับ  หนัง หรือ ของแผ่นหนาๆก็ได้ นำไปถักเป็นลวดลายต่างๆ ก็ได้ หรือจะนำไปใช้ ตามความต้องการอื่นๆก็ได้  เทคนิค:สามารถนำมา ฉีกเป็นเส้นเล็กๆแล้วนำไปเย็บอะไรก็แน่นหนาดี และวิธีทำ จะจบด้ายเทียนนี้ต้องใช้ ไฟเผ่าปลายเล็กน้อยไม่ ให้ไม่ มีปลายแหลม  ออกมา
                  ข้อมือทำจากลูกปัด นั้นคนสมัยโบราณเชื่อกันว่าเป็นเครื่องประดับที่นอกจากจะให้ความสวยงามแล้ว ยังมีอานุภาพในการปกป้องและคุ้มครองผู้ที่สวมใส่ อีกทั้งทำให้ผู้สวมใส่มีโชคลาภและเจริญรุ่งเรืองอีกด้วยแต่ทั้งนี้ก็จะต้องเขาใจความหมายและการบูชาให้ถูกต้องด้วย เนื่องจากลูกปัดทวาราวดีมีการประมาณอายุคร่าวๆไม่น่าจะต่ำกว่า 700 ปี ในสมัยโบราณได้มีการฝังลูกปัดไปพร้อมกับผู้ตายเนื่องจากกลัวว่าผู้ตายจะหวงของที่เป็นเครื่องประดับหรือของรักของหวงหากฝังไปพร้อมกัน

 ทุกคนคงรู้จากข้อมือทำจากลูกปัด เป็นงานที่ทำไม่ยากและเหมาะสำหรับทุกเพศทุกวัยและเป็นงานอดิเรกที่สามารถทำได้อย่างรวดเร็วและมีอุปกรณ์ที่สามารถหาได้ง่ายจากชุมชนมีอุปกรณ์ดังนี้                               กรรไกร. เชือก .ลูกปัด. ไฟแช็ก เป็นต้น

บทที่3

บทที่3
                       เครื่องมือและวัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ในการศึกษา




1  ลูกปัด
2  กรรไกร
3  ด้ายญี่ปุ่น
4  ไฟแช็ก

   ขั้นตอนการประดิษฐ์สร้อยข้อมือ
                                
1    ตัดเชือกให้ยาวซัก 2-3 เท่าของข้อมือ(อย่าไปงกค่ะ เหลือดีกว่าขาด)
       ยึดเชือกไว้กับคลิปบอร์ด ให้เหลือชายไว้ยาวพอประมาณ
2      ยึดปลายเชือกกับด้านล่างมือให้หย่อนๆ นิดหน่อย              
3   ตัดเชือกอีกสองเส้น(คนละสีกับเส้นแรกก็สวยดีค่ะ) ยาวประมาณ 3/4ของเส้นแรก
  เอามาหนีบกับคลิปบอร์ด(ไม่ต้องเหลือปลายมากนัก) โดยให้เส้นแรกอยู่ตรงกลาง
4     ทำเชือกเส้นขวาให้เป็นวง เอาปลายเชือกเส้นขวาสอดไว้ใต้เส้นกลางแต่ทับเส้น
        ทางซ้าย
5   เอาเชือกเส้นซ้ายสอดเข้าไปในวง
7   ผูกมันซะ!!!!
8   เปลี่ยนข้างแล้วทำตามขั้นตอนเดิมค่ะ ทำเชือกซ้ายให้เป็นวงโดยลอดใต้เส้นกลางแต่ทับ
เส้นขวา
9   เส้นขวาสอดเข้าไปในวง
10    จะได้แบบนี้
11    ผูกขึ้นไปเลยค่ะ ไม่ต้องแน่นมากนะ
12    ทำแบบเดิมสลับข้างไปมาซ้าย-ขวาแล้วลองวัดกับข้อมือดู ให้ตัวสร้อยที่ถักยาวซัก
 3/4ของข้อมือ(ถ้าถักจนพอดีข้อมือ พอทำที่รูดจะหลวมค่ะ)และไสลูกปัดเข้าไปในเส้นด้ายสี          น้ำเงินหลังจากนั้นก็ทำ   เหมือนเดิม
13     เมื่อได้ความยาวที่ต้องการ ตัดปลายเชือกออกทั้งซ้ายและขวา
14   โลนไฟตรงแผลที่เราตัดเชือกออกไป
15    ทำเหมือนกันกับด้านบนที่จับกับมือ ตัดเส้นซ้าย-ขวาออกซะจับสร้อยมาทำเป็นวง จับปลายเชือกที่เหลืออยู่ให้ขนานกันตามรูป
16     เอามือจับโดยให้เหลือจุดที่เชือกขนานกันไว้ประมาณ1.5 - 2นิ้ว
17   เอาด้านนึงไปยึดไว้กับมือทำไปจนจบเส้นด้าย
18    ตัดปลายเชือกเส้นที่ใช้ถักแล้วโลนไฟที่รอยแผล

19     มัดปมให้ปลายสร้อยทั้ง2ข้างตรวจสอบความเรียบร้อย

บทที่4

บทที่4
ผลการดำเนินโครงงาน


                                              ผลงานการทำสร้อยข้อมือจากลูกปัด

บทที่5

บทที่5
                                  สรุปผลการดำเนินโครงงาน

สรุปผลการดำเนินโครงงาน

จากการดำเนินงานนี้สรุปได้ว่า  กิจกรรมการทำสร้อยข้อมือ สามารถสร้างรายได้และฝึกฝนให้ผู้ทำมีความอดทน  มีความคิดสร้างสรรค์  นำชิ้นงานเป็นของที่ระลึกหรือของฝาก และสามารถสร้างอาชีพ สร้างรายได้ให้แก่ตนเองและครอบครัวได้